เชิญตรวจสอบ ราคา Rack ติดต่อสอบถามได้เลยนะค่ะ

หากสินค้าที่ท่านต้องการไม่มีในรายการสินค้า หรือต้องการจะขอใบเสนอราคา (Quotation) กรุณาติดต่อกับทางฝ่ายขายได้โดยตรงค่ะ

 Hotline: 085-155-2492    Email: sale@richmoonsoft.co.th 

สาระน่ารู้เกี่ยวกับ การเลือกซื้อ ตู้ Rack

ก่อนอื่นมาทำความรู้จักกับตู้ Rack กันก่อนว่ามัน คืออะไร ตู้ rack คือตู้ ที่สำหรับเอาไว้เก็บอุปกรณ์ Server หรือ อุปกรณ์ Network Switch Router Gateway รวมไปถึงสาย cable ตู้ Rack จะถูกออกแบบมาให้สะดวกในการจัดเก็บอุปกรณ์ และสายไฟสาย cable โดยตู้ Rack นั้นจะแบ่งเป็นชั้นๆ ในการที่จะเลือกซื้อตู้ Rack เราก็ต้องรู้ศัพท์ที่เค้าใช้กันก่อน เพราะเวลาไปคุยกับร้านค้าจะคุยไม่รู้เรื่องถ้าไม่รู้ศัพท์อย่างแรกเลย

ความสูงเรียกว่า U ตัวอย่างเช่น 15U, 27U, 36U, 39U, 42U, 45U โดย 1U = 4.445 เซนติเมตรนะค่ะ

ความกว้างเค้าจะวัดกันเป็นนิ้ว ตัวอย่างเช่น Rack 19 นิ้ว เป็นต้น

ความลึก (Depth) ความลึกของตู้ สำหรับความลึกของตู้ก็จะมีหลายขนาดตามชนิดของตู้ Rack เช่นแบบติดผนัง Wall Mount Rack มีความลึกให้เลือก 40 เซนติเมตร 50 เซนติเมตร และ 60 เซนติเมตร สำหรับรุ่นตั้งพื้น Close Rack มีความลึกที่ 60 เซนติเมตร 80 เซนติเมตร 90 เซนติเมตร 100 เซนติเมตร และ 110 เซนติเมตร

ตู้ Rack แบ่งออกเป็น 2 ประเภท หลักๆ คือ Wall rack กับ Tower rack แต่ละชนิดก็จะแบ่งแยกย่อยออกอีก ตาม design ซึ่งโดยทั่วๆปก็จะ แยกตามการระบายความร้อน ในแบบต่างๆ

ตู้ Rack แบบติดผนัง (Wall Rack) ซึ่งตู้ Rack แบบผนังจะแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลักๆดังนี้

1 ตู้ rack ที่ใช้งานทั่วไปไม่ต้องการระบายความร้อนมากเป็นพิเศษ (Wall Rack)

ตู้ Rack แบ่งออกเป็น 2 ประเภท หลักๆ คือ Wall rack กับ Tower rack แต่ละชนิดก็จะแบ่งแยกย่อยออกอีก ตาม design ซึ่งโดยทั่วๆปก็จะ แยกตามการระบายความร้อน ในแบบต่างๆ
แบบแรก ตู้ Rack แบบติดผนัง (Wall Rack) ซึ่งตู้ Rack แบบผนังจะแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลักๆดังนี้
  1   ตู้ rack ที่ใช้งานทั่วไปไม่ต้องการระบายความร้อนมากเป็นพิเศษ (Wall Rack)
  2   ตู้ rack ที่ต้องการระบายความร้อน ทั่วไปก็จะรูระบายความร้อนด้านหน้า
  3   ตู้ rack ที่ต้องการระบายความร้อนสูงสุด ทุกด้านจะมีรูระบายความร้อน

แบบที่สอง ตู้ Rack แบบตั้งพื้น (Tower Rack) ซึ่งตู้ Rack แบบตั้งพื้นจะแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลักๆดังนี้
 1   ตู้ Rack ที่ต้องการการระบายความร้อนไม่มาก บางท่านที่จะเรียกว่า Rack
  2   ตู้ Rack ที่ต้องการการระบายความร้อนระดับหนึ่ง จะถูกเรียกว่า Server Rack
 3    ตู้ Rack ที่ต้องการระบายความร้อนสูงสุด Curve rack โดยทั่วไปจะเรียกว่า Data Center Rack

วิธีการเลือกตู้ Rack สำหรับใช้งาน

1.  พื้นที่ ที่จะใช้วางตู้ rack ถ้าเป็นแบบติดผนังก็จะใช้พื้นที่น้อยแต่ข้อเสียคือรับน้ำหนักได้ไม่มาก ที่จะจัดวางหรือยึดติดตู้ Rack เป็นอันดับแรกๆ ว่าจะเหมาะกับตู้ Rack ประเภทใด มีพื้นที่มากน้อยแค่ไหน หากมีพื้นที่มาก ก็สามารถใช้ตู้ Rack แบบตั้งพื้น เพราะทำให้สามารถใส่อุปกรณ์ได้มาก รับน้ำหนักอุปกรณ์ได้เยอะ แต่หากมีพื้นที่จำกัด ก็ควรใช้ตู้ Rack แบบติดผนัง เพื่อป้องกันการเดินชน หรือสะดุดล้ม โดยน้ำหนักอุปกรณ์ที่วางในตู้ Rack ไม่ควรจะมากจนเกินไป
2.  คำนวณหาอุปกรณ์ที่จะใส่เข้าไปในตู้ Rack กว้าง (นิ้ว) สูง (U) ลึก (เซนติเมตร) สำหรับความลึกต้องเผื่อไว้ด้วย 20 ซม. เป็นอย่างต่ำ เพื่อการวางสายและระบายความร้อนไม่ควรพอดีจนเกินไป 3. การระบายความร้อน การระบายความร้อนมากน้อยแค่ไหน ถ้า server ของทลูกค้าเป็นชนิดที่ต้องทำงานหนักตลอดเวลา 24 ชม ใช้กระแสไฟเยอะ ก็จะมีความร้อนสูง ถ้าระบายความร้อนได้ไม่ดีก็จะทำให้ server เสียหายได้ ในกรณีที่ห้อง server ของท่านมีการติดตั้งในห้องที่มีเครื่องปรับอากาศ แล มีพัดลมระบายอากาศภายในตู้ ก็อาจจะเลือกเป็นตู้ Rack ประเภทที่ 1 ได้ ไม่จำเป็นต้อง มีรูระบายทุกรอบด้าน แต่ถ้าห้อง server ของท่านไม่มีระบบระบายอากาศ ลูกค้าก็คงต้องเลือกตู้ที่ระบายความร้อนได้สูงสุดก็จะช่วยระบบายความร้อนในตัว ของตัว server ให้มากที่สุดนั่นเอง
4. จำนวนของปลั๊กไฟควรเลือก ขนาดของรางไฟที่ให้เหมาะสม เช่น 4,6,8,12 Outlets เป็นต้น
5. ตู้ rack จำเป็นต้องมีถาดรองรับอุปกรณ์ Fixed Shelf หรือไม่ สำหรับบางอุปกรณ์ที่ไม่ได้มีความกว้าง มาตรฐาน 19 นิ้ว เช่น เราเตอร์ ขนาดเล็ก หรือ พวก Switch ขนาดเล็ก
6.  ถาดรองรับสำหรับวางคีย์บอร์ด และ จอ monitor ต้องมีหรือไม่ ก็ควรเป็นแบบ Slide ก็จะง่ายต่อการใช้งาน
7.  อุปกรณ์สำหรับการจัดระเบียบสาย Network Cable ให้สวยงาม จำเป็นต้องมีหรือไม่
8.  สีของตู้ Rack ต้องการสีดำหรือสีขาว เป็นต้น
       ซึ่งแน่นอน แบบที่ 1 ระบายความร้อนต่ำ ราคาย่อมถูกที่สุด ส่วนแบบ 3 ที่ระบายความร้อนสูง ก็จะเป็นราคาที่สูงที่สุด แต่ของแบบนี้ไม่ควรไปเน้น ที่ราคาถูกควรจะเลือกให้เหมาะกับ ระบบของท่านจะดีที่สุด เพราะถ้า server ล่วงไปเนื่องจาก ความร้อน หรือ ใช้งานเข้ามา maintenance ลำบาก ก็ไม่คุ้มเสียแน่นอนค่ะ

      กุญแจสำคัญอีกประการหนึ่งคือ การเลือกบริการ หรือ โทรได้ 24 ชั่วโมง เพื่อให้คุณสามารถขอความช่วยเหลือ เมื่อไรก็ได้ที่เราต้องการ หรือในยามที่ บางที่เราอาจจะต้องการเพียงแค่คำแนะนำบางอย่าง สุดท้ายน ถ้าอ่านจบแล้วยัง งง ๆ หรือ ยังไม่รู้ว่าจะเลือกยังไงดี อย่าลืมนึกถึงเรา RICH MOON SOFT SERVICE