เช็คราคา Server Dell HP ACER IBM ทุกชนิด ทุกยี่ห้อ
ACER
APPLE
ASUS
DELL
HP
LENOVO
TOSHIBA
All SERVER Brands
ACER SERVER
DELL SERVER
HP SERVER
IBM SERVER
All Rack Type
Close Rack
Wall Rack
Open Rack
Rack Accessories
CANNON
EPSON
SAMSUNG
BROTHER
FUJIXEROX
All Storage Brands
IBM
HW Backup
SW Backup
Wireless
Switch
Router
BENQ
Firewall & Log Management
MicroSoft ESD
MicroSoft FPP
MicroSoft OLP
MicroSoft OEM
ADOBE
AUTODESK
All Antivirus Brands
NOD32
KASPERSKY
SYMANTEC
McAfee
TREND MICRO
Bitdefender
APC
POWERMATIC
EMERSON
SYNDOME
Ablerex
Cyber Power
BCN
LEONICS
คอมพิวเตอร์ประกอบ
อะไหล่แบต Iphone
Ribbon SBC
Other
เซิร์ฟเวอร์ (server) คืออะไร ถ้าไปเปิด dictionary ก็อาจจะแปลว่า เครื่องบริการ หรือ เครื่องแม่ข่าย ค่ะ หรืออีกในหนึ่งมันคือเครื่องคอมพิวเตอร์ ที่ทำงานให้บริการ ในระบบเครือข่ายแก่ลูกข่าย หรือที่เราเรียกกันว่า ไคร์แอน client นั่นเอง ซึ่ง client จะเป็นผู้ใช้บริการจากเซิร์ฟเวอร์อีกทีหนึ่ง ดังนั้นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ สามารถทำหน้าที่เป็นเซิร์ฟเวอร์นี้ควรที่จะมีประสิทธิภาพสูง มีความเสถียร เพื่อให้บริการแก่ผู้ใช้ หรือ client ได้เป็นจำนวนมากๆ ได้นั่นเองภายในเซิร์ฟเวอร์ให้บริการได้ด้วยโปรแกรมบริการต่างๆ ซึ่งทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการอีกชั้นหนึ่งค่ะ บางท่านอาจจะสงสัยว่าทำไมต้องใช้ server ซึ่ง ราคา server นั้นค่อนข้างแพง ในเมื่อ computer แรงๆ ที่บ้านก็เอามาทำเป็น server ได้ ซึ่งจริงๆแล้ว เราก็เอา computer หรือ laptop ที่บ้านมาทำเป็น server ได้ค่ะ แต่ว่า computer ปกติ ไม่ได้ถูกออกแบบมาให้เปิดตลอด วันตลอดคืน ค่ะ คิดว่าไม่กี่วันก็คง Hang ซึ่ง server นั่นถูกออกแบบมาใช้งานในลักษณะนั้นค่ะ คือใช้งานกันข้ามเดือน ข้ามปีได้เลย ซึ่ง server จะมีระบบที่สามารถ รองรับเวลา hard disk เสีย (redundancy) เพราะ server จะมี spare hard disk ซึ่งสามารถที่จะ switchover มาใช้ได้ทันที ที่ hard disk ตัวหลักมีปัญหา เช่นเดียวกับ ระบบ power supply ก็จะมี spare เช่นเดียวกัน โดยทั่วๆไปนะค่ะ server เนี่ยจะทำหน้าที่อยู่ไม่กี่อย่างหรอกค่ะ อาทิเช่น 1 Web server 2 printer servers 3 Application server และสุดท้าย file servers เราจะมาดูกันนะค่ะ ว่าแต่ละอย่าง หมายถึงอะไรยังไง 1 Web server หลายบ้านหรือ หลายๆบริษัท คงจะมี website เป็นของตัวเองและแน่นอน เวลาที่ เรา ใส่ url นั่น ข้อมูลที่ได้มาที่มา show ที่คอมเราทั้งหมดนั้น ก็มาจาก web server นั่นเองค่ะ 2 File server หลายๆบริษัท คงต้องการให้ file งานต่างๆ ถูกเก็บไว้ในที่ ที่เดียวและเป็นที่ ที่ทุกคนใน บริษัท สามารถที่จะ ดึงข้อมูล หรือแม้กระทั้ง โหลดข้อมูลลงไป ใช่ไหมค่ะ ซึ่ง server สามารถรองรับ การดึงข้อมูล ได้หลายๆ session ในเวลาเดียวกันค่ะ ไม่ hang แน่นอน 3 Printer Server ถูกออกแบบมาให้ printer ทั้งหมดต่อ กับ server เครื่องเดียว และ ทุกคนสามารถที่จะ print เอกสารได้ โดยไม่จำเป็นที่จะต้องต่อเข้ากับ printer โดยตรงค่ะ โดยปกติแล้วถ้าไม่มี printer server จะทำให้ computer เครื่องที่ต่อเข้ากับ printer นั้นใช้ได้เพียงเครื่องเดียวค่ะ แต่ก็ต้องบอกว่า Printer ในสมัยนี้สามารถทำตัวเป็น Printer Server ได้ในตัวเองทั้งนั้นแล้วค่ะ เพียงแค่เราอยู่ในวง LAN เดียวกับ Printer พอโหลด Driver เสร็จก็สามารถใช้งาน ได้ทันทีค่ะ 4 Application server จะถูกนำไปใช้อมื่อ PC แรงไม่พอที่จะเอามา ลง database ขนาดใหญ่มากๆได้ อาทิเช่น email ขององค์กร ที่ต้องใช้เนื้อที่จำนวนมากๆ ดังนั้น server คือคำตอบค่ะ ส่วนวิธีการเลือกนั้น ไม่ยากค่ะ ถ้าเราต้องการเอา server ไปเก็บพวก file ต่างๆ หรือต่อเครื่อง printer นั้น spec ของ server ไม่ต้องแรงมากนะค่ะ แต่สำหรับ application server อาจจะต้องการ multi core อาจจะเป็น Server ที่เร็วในระดับกลางๆค่ะ และ ที่สำคัญ RAM กับ hard disk ต้องเยอะๆหน่อยค่ะ และสุดท้าย web server นั้นต้องการ process มากที่สุด เพื่อรองรับการ query หลายๆ session ค่ะ แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าไม่มันใจก็สอบถามกับ ฝ่ายขาย ได้เลยค่ะ RAID (Redundant Array of Inexpensive Disk) คือระบบ redundancy หรือ ระบบควบคุมฮาร์ดดิสก์ของเซิร์ฟเวอร์เมื่อเกิดความเสียหาย นั้น มีหลายแบบค่ะ ตัวอย่างของแต่ละแบบ แบบ RAID 0 ยกตัวอย่างมีฮาร์ดดิสก์ 2 ลูกแต่ละลูกมีความจุ 500 GB ดังนั้นเราสามารถเก็บข้อมูลได้ 1000 Gb แต่เมื่อ ฮาร์ดดิสก์ลูกใดลูกหนึ่งเสีย ก็จะทำให้ ฮาร์ดดิสก์ ใช้งานไม่ได้ทั้งสองลูกเลยค่ะ ลักษณะเด่นของ RAID 0 คือความเร็วในการเข้าถึงข้อมูล แต่ข้อเสียก็คือหาก harddisk ตัวใดตัวหนึ่งเสียหาย จะส่งผลกับข้อมูลทั้งระบบทันที แบบ RAID 1 ยกตัวอย่างมีฮาร์ดดิสก์ 2 ลูกแต่ละคนมีความจุ 500 GB เราจะสามารถเก็บข้อมูลได้แค่ 500 GB ค่ะแต่อย่างไรก็ตาม เมื่อฮาร์ดดิสก์ลูกหลักเสีย อีกตัวก็จะทำงานแทนทันทีค่ะ จุดเด่นของ RAID 1 คือความปลอดภัยของข้อมูล ไม่เน้นเรื่องประสิทธิภาพและความเร็วเหมือนอย่าง RAID 0 แม้ว่าประสิทธิภาพในการอ่านข้อมูลของ RAID 1 จะสูงขึ้นก็ตาม แบบ RAID 10 หรือ RAID 1 +0 คือการใช้ประโยชน์ของ RAID 0 และ RAID 1 ตัวอย่างเช่นเรามี ฮาร์ดดิสก์ 6 ลูก เราให้สามลูกแรกเป็น ลูกที่ใช้งานจริง ส่วนสามลูกหลังเป็นฮาร์ดดิสก์สำรอง ในกรณี ฮาร์ดดิสก์สามลูกแรกมีลูกใดลูกหนึ่งเสีย ฮาร์ดดิสก์สามลูกหลังจะทำงานแทนทันที มีอยู่อย่างหนึ่งคือ เมื่อวันใดเราอยากเพิ่มขนาดของ ฮาร์ดดิสก์ เช่น ฮาร์ดดิสก์ทั้ง 6 ลูกมีความจุอยู่ 500 Gb แสดงว่า จำนวน ขนาดของ ความจุของ server ตัวนี้ เท่ากับ 500x3 คือ 1500Gb แต่ถ้าเราอยากเพิ่มเป็น 2000 Gb เราต้องซื้ฮาร์ดดิสก์ 500 Gb มาสองลูก เพื่อเพิ่มในส่วนที่ใช้งานและส่วนที่สำรอง เหมาะสำหรับ Server ที่ต้องการความเร็วในการเข้าถึงข้อมูลค่อนข้างมาก และไม่ต้องการความจุมากนัก แบบ RAID 3 (N +1) ต้องมีอย่างน้อย 3 ฮาร์ดดิสก์ค่ะ ตัวอย่างเช่นฮาร์ดดิสก์ 3 ลูกแต่ละลูกมีความจุ 200 GB ดังนั้น server เราจะสามารถจุข้อมูลได้ 400 Gb อีก 200 Gb เก็บไว้สำรองข้อมูลในกรณีที่ลูก แรกหรือ ลูกที่สองเสีย ฮาร์ดดิสก์ลูกที่ 3 จะทำงานให้แทนลูกที่เสียทันทีค่ะ ดังนั้น RAID 3 เหมาะสำหรับใช้ในงานที่มีการส่งข้อมูลจำนวนมากๆ เช่นงานตัดต่อ Video เป็นต้นค่ะ แบบ RAID 5 (N +1) สามารถแทนที่ฮาร์ดดิสก์ชำรุดในขณะที่ระบบยังคงทำงานลงเซิร์ฟเวอร์ทั้งหมด อย่างน้อย 3 ฮาร์ดดิสก์ ลูก แรกหรือ ลูกที่สองเสีย ฮาร์ดดิสก์ลูกที่ 3 จะทำงานให้แทน เป็นเช่นเดียวกับ RAID 3 แต่มันจะส่งผ่านข้อมูลเร็วขึ้นค่ะ จุดเด่นของ RAID 5 คือ เทคโนโลยี Hot Swap คือเราสามารถทำการเปลี่ยน harddisk ในกรณีที่เกิดปัญหาได้ในขณะที่ระบบยังทำงานอยู่ เหมาะสำหรับงาน Server ต่างๆ ที่ต้องทำงานต่อเนื่อง RAID 6 (N +2) อาศัยพื้นฐานการทำงานของ RAID 5 แต่จะดีกว่า RAID 5 ตรงที่ว่ามี backup hard disk ถึง สองลูก และยอมให้เราทำการ Hot Swap ได้พร้อมกัน 2 ตัว RAID 6 จึง เหมาะกับงานที่ต้องการความปลอดภัยและเสถียรภาพของข้อมูลที่สูงมากๆค่ะ การเลือกยี่ห้อหรือ Vendor กุญแจสำคัญอีกประการหนึ่งคือ การเลือกบริการ หรือ โทรได้ 24 ชั่วโมง เพื่อให้คุณสามารถขอความช่วยเหลือ เมื่อไรก็ได้ที่เราต้องการ หรือในยามที่ บางที่เราอาจจะต้องการเพียงแค่คำแนะนำบางอย่าง สุดท้ายน ถ้าอ่านจบแล้วยัง งง ๆ หรือ ยังไม่รู้ว่าจะเลือกยังไงดี อย่าลืมนึกถึงเรา RICH MOON SOFT SERVICE
บางท่านอาจจะสงสัยว่าทำไมต้องใช้ server ซึ่ง ราคา server นั้นค่อนข้างแพง ในเมื่อ computer แรงๆ ที่บ้านก็เอามาทำเป็น server ได้ ซึ่งจริงๆแล้ว เราก็เอา computer หรือ laptop ที่บ้านมาทำเป็น server ได้ค่ะ แต่ว่า computer ปกติ ไม่ได้ถูกออกแบบมาให้เปิดตลอด วันตลอดคืน ค่ะ คิดว่าไม่กี่วันก็คง Hang ซึ่ง server นั่นถูกออกแบบมาใช้งานในลักษณะนั้นค่ะ คือใช้งานกันข้ามเดือน ข้ามปีได้เลย ซึ่ง server จะมีระบบที่สามารถ รองรับเวลา hard disk เสีย (redundancy) เพราะ server จะมี spare hard disk ซึ่งสามารถที่จะ switchover มาใช้ได้ทันที ที่ hard disk ตัวหลักมีปัญหา เช่นเดียวกับ ระบบ power supply ก็จะมี spare เช่นเดียวกัน โดยทั่วๆไปนะค่ะ server เนี่ยจะทำหน้าที่อยู่ไม่กี่อย่างหรอกค่ะ อาทิเช่น 1 Web server 2 printer servers 3 Application server และสุดท้าย file servers เราจะมาดูกันนะค่ะ ว่าแต่ละอย่าง หมายถึงอะไรยังไง 1 Web server หลายบ้านหรือ หลายๆบริษัท คงจะมี website เป็นของตัวเองและแน่นอน เวลาที่ เรา ใส่ url นั่น ข้อมูลที่ได้มาที่มา show ที่คอมเราทั้งหมดนั้น ก็มาจาก web server นั่นเองค่ะ 2 File server หลายๆบริษัท คงต้องการให้ file งานต่างๆ ถูกเก็บไว้ในที่ ที่เดียวและเป็นที่ ที่ทุกคนใน บริษัท สามารถที่จะ ดึงข้อมูล หรือแม้กระทั้ง โหลดข้อมูลลงไป ใช่ไหมค่ะ ซึ่ง server สามารถรองรับ การดึงข้อมูล ได้หลายๆ session ในเวลาเดียวกันค่ะ ไม่ hang แน่นอน 3 Printer Server ถูกออกแบบมาให้ printer ทั้งหมดต่อ กับ server เครื่องเดียว และ ทุกคนสามารถที่จะ print เอกสารได้ โดยไม่จำเป็นที่จะต้องต่อเข้ากับ printer โดยตรงค่ะ โดยปกติแล้วถ้าไม่มี printer server จะทำให้ computer เครื่องที่ต่อเข้ากับ printer นั้นใช้ได้เพียงเครื่องเดียวค่ะ แต่ก็ต้องบอกว่า Printer ในสมัยนี้สามารถทำตัวเป็น Printer Server ได้ในตัวเองทั้งนั้นแล้วค่ะ เพียงแค่เราอยู่ในวง LAN เดียวกับ Printer พอโหลด Driver เสร็จก็สามารถใช้งาน ได้ทันทีค่ะ 4 Application server จะถูกนำไปใช้อมื่อ PC แรงไม่พอที่จะเอามา ลง database ขนาดใหญ่มากๆได้ อาทิเช่น email ขององค์กร ที่ต้องใช้เนื้อที่จำนวนมากๆ ดังนั้น server คือคำตอบค่ะ ส่วนวิธีการเลือกนั้น ไม่ยากค่ะ ถ้าเราต้องการเอา server ไปเก็บพวก file ต่างๆ หรือต่อเครื่อง printer นั้น spec ของ server ไม่ต้องแรงมากนะค่ะ แต่สำหรับ application server อาจจะต้องการ multi core อาจจะเป็น Server ที่เร็วในระดับกลางๆค่ะ และ ที่สำคัญ RAM กับ hard disk ต้องเยอะๆหน่อยค่ะ และสุดท้าย web server นั้นต้องการ process มากที่สุด เพื่อรองรับการ query หลายๆ session ค่ะ แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าไม่มันใจก็สอบถามกับ ฝ่ายขาย ได้เลยค่ะ RAID (Redundant Array of Inexpensive Disk) คือระบบ redundancy หรือ ระบบควบคุมฮาร์ดดิสก์ของเซิร์ฟเวอร์เมื่อเกิดความเสียหาย นั้น มีหลายแบบค่ะ ตัวอย่างของแต่ละแบบ แบบ RAID 0 ยกตัวอย่างมีฮาร์ดดิสก์ 2 ลูกแต่ละลูกมีความจุ 500 GB ดังนั้นเราสามารถเก็บข้อมูลได้ 1000 Gb แต่เมื่อ ฮาร์ดดิสก์ลูกใดลูกหนึ่งเสีย ก็จะทำให้ ฮาร์ดดิสก์ ใช้งานไม่ได้ทั้งสองลูกเลยค่ะ ลักษณะเด่นของ RAID 0 คือความเร็วในการเข้าถึงข้อมูล แต่ข้อเสียก็คือหาก harddisk ตัวใดตัวหนึ่งเสียหาย จะส่งผลกับข้อมูลทั้งระบบทันที แบบ RAID 1 ยกตัวอย่างมีฮาร์ดดิสก์ 2 ลูกแต่ละคนมีความจุ 500 GB เราจะสามารถเก็บข้อมูลได้แค่ 500 GB ค่ะแต่อย่างไรก็ตาม เมื่อฮาร์ดดิสก์ลูกหลักเสีย อีกตัวก็จะทำงานแทนทันทีค่ะ จุดเด่นของ RAID 1 คือความปลอดภัยของข้อมูล ไม่เน้นเรื่องประสิทธิภาพและความเร็วเหมือนอย่าง RAID 0 แม้ว่าประสิทธิภาพในการอ่านข้อมูลของ RAID 1 จะสูงขึ้นก็ตาม แบบ RAID 10 หรือ RAID 1 +0 คือการใช้ประโยชน์ของ RAID 0 และ RAID 1 ตัวอย่างเช่นเรามี ฮาร์ดดิสก์ 6 ลูก เราให้สามลูกแรกเป็น ลูกที่ใช้งานจริง ส่วนสามลูกหลังเป็นฮาร์ดดิสก์สำรอง ในกรณี ฮาร์ดดิสก์สามลูกแรกมีลูกใดลูกหนึ่งเสีย ฮาร์ดดิสก์สามลูกหลังจะทำงานแทนทันที มีอยู่อย่างหนึ่งคือ เมื่อวันใดเราอยากเพิ่มขนาดของ ฮาร์ดดิสก์ เช่น ฮาร์ดดิสก์ทั้ง 6 ลูกมีความจุอยู่ 500 Gb แสดงว่า จำนวน ขนาดของ ความจุของ server ตัวนี้ เท่ากับ 500x3 คือ 1500Gb แต่ถ้าเราอยากเพิ่มเป็น 2000 Gb เราต้องซื้ฮาร์ดดิสก์ 500 Gb มาสองลูก เพื่อเพิ่มในส่วนที่ใช้งานและส่วนที่สำรอง เหมาะสำหรับ Server ที่ต้องการความเร็วในการเข้าถึงข้อมูลค่อนข้างมาก และไม่ต้องการความจุมากนัก แบบ RAID 3 (N +1) ต้องมีอย่างน้อย 3 ฮาร์ดดิสก์ค่ะ ตัวอย่างเช่นฮาร์ดดิสก์ 3 ลูกแต่ละลูกมีความจุ 200 GB ดังนั้น server เราจะสามารถจุข้อมูลได้ 400 Gb อีก 200 Gb เก็บไว้สำรองข้อมูลในกรณีที่ลูก แรกหรือ ลูกที่สองเสีย ฮาร์ดดิสก์ลูกที่ 3 จะทำงานให้แทนลูกที่เสียทันทีค่ะ ดังนั้น RAID 3 เหมาะสำหรับใช้ในงานที่มีการส่งข้อมูลจำนวนมากๆ เช่นงานตัดต่อ Video เป็นต้นค่ะ แบบ RAID 5 (N +1) สามารถแทนที่ฮาร์ดดิสก์ชำรุดในขณะที่ระบบยังคงทำงานลงเซิร์ฟเวอร์ทั้งหมด อย่างน้อย 3 ฮาร์ดดิสก์ ลูก แรกหรือ ลูกที่สองเสีย ฮาร์ดดิสก์ลูกที่ 3 จะทำงานให้แทน เป็นเช่นเดียวกับ RAID 3 แต่มันจะส่งผ่านข้อมูลเร็วขึ้นค่ะ จุดเด่นของ RAID 5 คือ เทคโนโลยี Hot Swap คือเราสามารถทำการเปลี่ยน harddisk ในกรณีที่เกิดปัญหาได้ในขณะที่ระบบยังทำงานอยู่ เหมาะสำหรับงาน Server ต่างๆ ที่ต้องทำงานต่อเนื่อง RAID 6 (N +2) อาศัยพื้นฐานการทำงานของ RAID 5 แต่จะดีกว่า RAID 5 ตรงที่ว่ามี backup hard disk ถึง สองลูก และยอมให้เราทำการ Hot Swap ได้พร้อมกัน 2 ตัว RAID 6 จึง เหมาะกับงานที่ต้องการความปลอดภัยและเสถียรภาพของข้อมูลที่สูงมากๆค่ะ การเลือกยี่ห้อหรือ Vendor กุญแจสำคัญอีกประการหนึ่งคือ การเลือกบริการ หรือ โทรได้ 24 ชั่วโมง เพื่อให้คุณสามารถขอความช่วยเหลือ เมื่อไรก็ได้ที่เราต้องการ หรือในยามที่ บางที่เราอาจจะต้องการเพียงแค่คำแนะนำบางอย่าง สุดท้ายน ถ้าอ่านจบแล้วยัง งง ๆ หรือ ยังไม่รู้ว่าจะเลือกยังไงดี อย่าลืมนึกถึงเรา RICH MOON SOFT SERVICE
หน้า: ย้อนกลับ ... 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 ... ถัดไป
Home | Profile | Hardware | Software | Product Partner | Promotion | Contact
Rich Moon Soft Service Co.,LTD บริษัท ริชมูนซอฟท์เซอร์วิส (ประเทศไทย) จำกัด
Hotline: 085-155-2492 Email: sale@richmoonsoft.co.th